รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นจุดเริ่มต้นความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชน เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” มองเห็นถึงโครงสร้างทางการเมืองที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้งประชาธิปไตยและความก้าวหน้าของสังคม เปรียบเสมือนก้าวเข้าสู่ยุคความรุ่งเรืองทางปัญญา ( Age of Enlightenment )ที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศยุโรปอเมริกาในศตวรรษที่ 18 มีเป้าหมาย เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมบนหลักเหตุผลมากกว่าการใช้หลักจารีตประเพณี ที่เชิดชูตัวบุคคลประหนึ่งเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดครอบงำสังคมด้วยกลไกความรุนแรงและการครอบงำทางปัญญา
ถึงแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะเริ่มต้นจากการปกป้องนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่น พตท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตามแต่จากการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารยาวนานได้เผยโฉมหน้า ปีศาจในคราบนักบุญ เบื้องหลังการรัฐประหารที่แท้จริงออกมา ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งจากรั้วมหาวิทยาลัยรวมตัวกันใช้ชื่อว่า”กลุ่มเสรีปัญญาชน” โดยมีอิทธิพล สุขแป้นหรือเบียร์ และ กริชสุดา คุณะเสน เป็นแกนนำคนสำคัญในการเคลื่อนไหวสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง อย่างแข็งขันโดยจัดเวทีปราศรัย ตระเวนไปในหลายจังหวัดด้วยกัน
อิทธิพล สุขแป้น เป็นคนจังหวัดปราจีนบุรี เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2529 ในปี 2550เรียนคณะบริหารธุรกิจ อยู่ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กลุ่มเสรีปัญญาชนได้เข้าร่วมการต่อสู้กับคนเสื้อแดงในระดับแนวหน้าที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงทางการเมือง จากการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมในปี 2552และ 2553 ทำให้อิทธิพล สุขแป้นเกิดความรับรู้ใหม่ ไม่ใช่แค่ตาสว่างแต่ยังปากสว่างอีกด้วย โดยการปราศรัยและการแสดงความคิดเห็นนำเสนอไปถึงการปฏิวัติสังคม ในวันที่ 24 มิถุนายน 2552 เมื่อกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้จัดงานทวงคืนวันชาติไทย ที่ท้องสนามหลวง อิทธิพล สุขแป้นนำตำราของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มาที่หลังเวที แล้วขอขึ้นพูดปราศรัยว่า ผมกำลังศึกษาเรื่อง “วิวัฒนาการของสังคม” หลังจากผ่านยุคมืด สมัยกลางความเจริญหยุดลง ประชาชนในยุโรปต่างไม่มีที่พึ่ง เจ้าผู้ครองแต่ละเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่ เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์ สังคมแบ่งเป็นกษัตริย์-ขุนนาง กดขี่เอารัดเอาเปรียบทาส-ไพร่ ออกกฎหมายห้ามใครดูหมิ่นหรือต่อต้าน หากฝ่าฝืนจะถูกจับกุมเข่นฆ่า แต่ประชาชนก็ลุกขึ้นสู้ จนสังคมเสื่อมทรามในที่สุดสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางปัญญา ความคิดวิทยาศาสตร์และความเจริญก้าวหน้ามาแทนที่ยุคเก่าจนเกิดการปฏิวัติสังคมเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐและประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่ยุโรปและอเมริกา อิทธิพล สุขแป้น ปราศรัยให้ผู้มาชุมนุมฟังอย่างเร่าร้อน
กริชสุดา คุณเสนเล่าให้ฟังว่า กลุ่มเสรีปัญญาชนเติบโตอย่างรวดเร็วมีสมาชิกถึง 50 คน และที่ขยายตัวเป็นเครือข่ายอีกนับพันคน แต่ละคนล้วนแล้วแต่กระตือรือร้นที่จะใช้ความรู้ทั้งจากตำราและจากประสพการณ์ที่เป็นจริงในสังคมไทย เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่งดงาม ตามวิวัฒนาการสังคมที่พวกเขาเรียนรู้มา พร้อมๆกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ได้สร้างเครื่องมือทันสมัยในการเผยแพร่ความรู้ใหม่ชนิดที่เรียกว่าถึงเวลาที่จะรื้อถอนโครงสร้างสังคมยุคเก่าให้หมดไป
ภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อิทธิพล สุขแป้นจึงถูกเรียกให้ไปรายงานตัว และถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา112 เขาจึงต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศลาว ทำหน้าที่เป็นสื่อจัดทำรายการวิทยุ-โทรทัศน์ผ่านยูทูป เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนเสื้อแดงที่รับฟังข่าวสารผ่านยูทูปในนามของ”ดีเจซุนโฮ” ซึ่งชื่อนี้เป็นความคล้องจองกับตระกูลเดิมของพ่อแม่เขาที่ปราจีนบุรี
การลี้ภัยไปต่างแดน ไม่ได้สุขสบาย แต่กลับทุกข์ทรมานจากความอัตคัตขัดสนในการดำรงชีพและต้องคอยหลบภัยจากการถูกไล่ล่าจากทางการรัฐบาลไทย
ผู้ลี้ภัยในลาวจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มละ 4-5 คน กระจัดกระจายตามที่หลบภัยหลายแห่งด้วยกัน ส่วนอิทธิพล สุขแป้น ต้องหาเลี้ยงชีพตนเองด้วยการทำปลาร้าทรงเครื่องขายจึงอยู่ในนครเวียงจันทร์ เริ่มแรกอยู่ร่วมกับ “ ใหญ่ พัทยา “ ตอนหลังจึงแยกตัวออกจากกัน ในวันที่ 21 มิถุนายน 2559 เบียร์เดินทางออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารคนไทย ที่บ้านโพธิ์ศรี ห่างจากที่หลบภัยของเบียร์ราว 5 กิโลเมตร ระหว่างนี้มีสายเรียกเข้าจากใหญ่ พัทยา มาชวนกินเบียร์ต่อที่ร้านเนื้อย่างเกาหลี KK จากนั้นประมาณ เวลา21.00น.จึงแยกย้ายกันกลับห่างจากร้านที่กินเบียร์อยู่ด้วยกันราว 800 เมตร ปรากฏให้เห็นร่องรอยการต่อสู้ มอเตอร์ไซต์ของอิทธิพล สุขแป้นล้มลง ปราร้าทรงเครื่องแตกกระจาย และเสียงร้องขอความช่วยเหลือของอิทธิพล สุขแป้น ที่เงียบหายไปในความมืด จากนี้ไป อิทธิพล สุขแป้นได้หายตัวไปในคืนวันนั้น
ผู้ใกล้ชิดอิทธิพล สุขแป้น คนหนึ่งระบุว่า การอุ้มฆ่า ครั้งนี้ใช้ “นกต่อ” ให้ตัวเขาออกมาจากบ้านพักซึ่งหมายถึง ใหญ่ พัทยา นั่นเอง ซึ่ง ใหญ่ พัทยา ได้ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของอิทธิพล สุขแป้นในเวลาต่อมาได้ปรากฏเป็นบทสนทนาผ่านไลน์ที่เก็บบันทึกไว้ได้ และมีการเปิดเผยออกมาอย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในบทสนทนานี้ระบุถึงการรับจ้างทำงานด้วยเงิน 300,000 บาท และได้เตรียมอุปกรณ์ในการปฏิบัติการครั้งนี้นั่นก็คือ ตาข่ายดักปลา และอุปกรณ์ในการจัดการศพสำหรับถ่วงน้ำนั่นเอง
บทสนทนาทางไลน์ ไม่อาจนำมาใช้เพื่อติดตามการหายตัวไปของอิทธิพล สุขแป้นได้ และ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งเมื่อ ศพของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ โผล่ขึ้นทึ่บ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ศพของภูชนะ หรือ ชัชชาญ บุปผาวัลย์ โผล่ขึ้นที่ต. ธาตุพนม ศพของกาสะลอง โผล่ที่บ้านสำราญ ต.อาจสามารถ โดยศพทั้งสามห่อหุ้มด้วยตาข่าย แต่ไม่ใช่ตาข่ายดักปลา แต่เป็นตาข่ายใช้ทำเล้าไก่ที่ปรากฏมีจำหน่ายในตลาดของจังหวัดนครพนม
“ตาข่าย” จึงมีความหมายได้ว่า การอุ้มฆ่า ผู้ลี้ภัยที่ประเทศลาวทั้ง 5 คนนี้ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน อย่างแยกกันไม่ออก โดยมีจุดร่วมอยู่อันหนึ่งนั่นคือ “ตาข่ายกับสายน้ำ” ส่วนการอุ้มฆ่าแต่ละคนนั้นใช้วิธีการที่แตกต่างกันแต่ทั้งหมดแนบเนียน ไร้ร่องรอย รวดเร็ว เป็นปฏิบัติการทางการทหารระดับสูงจากฝีมือการอุ้มฆ่ามือมหากาฬ
กระแสข่าวจากตำรวจในพื้นที่ฝั่งประเทศลาวระบุว่า อิทธิพล สุขแป้น ถูกอุ้มข้ามฝั่งมาที่ไทยและถูกสังหารในค่ายทหารแห่งหนึ่งแล้ว นำศพทิ้งหายไปกับกระแสน้ำของแม่น้ำโขง ในขณะที่ญาติของเขาบอกว่า วิญญาณอิทธิพล สุขแป้น มาเข้าฝันบอกว่า ศพของเขาถูกฝังอยู่ฝั่งประเทศลาว ผู้ลี้ภัยชาวไทยคนหนึ่งและญาติของเขาจึงได้สร้างศาลเพียงตา ณ ตรงจุดที่อิทธิพล สุขแป้น มาเข้าฝันบอกพิกัดตรงที่ฝังศพของเขา
————————————————————————————————————————————–
“สองแผ่นดิน” บันทึกเรื่องราวเป็นกวีศิลป์แห่งความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดรวดร้าวจากการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ควรค่าต่อการเป็นเจ้าของ คำนิยมโดยวัฒน์ วรรลยางกูร กวีกบถนอกราชอาณาจักร รายได้สนับสนุนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยนักโทษการเมือง นำผู้ลี้ภัยกลับบ้าน ราคา 150 บาท ค่าส่ง 20.00 บาท รวม 170 บาท สั่งซื้อด้วยการโอนเงิน 170.00 บาท ในนามของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ธนาคารกรุงไทย บัญชีเลขที่ 198-0-12736-0 ส่งสลิป และแจ้งชื่อที่อยู่สำหรับจัดส่ง Email มาที่ editor@prakaifai.com หรือโทรศัพท์มาที่ 065-557-5005