วงเสวนาจวกรัฐบาลประยุทธ์ทำเศรษฐกิจซบเซา เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนำรัฐบาลพลเรือนกลับมา
“สมยศ” ชี้ทุกปัญหามาจากรัฐบาลรัฐประหาร กฎหมายที่ทำให้เกิดสภาปริ่มน้ำ มาตรการทางเศรษฐกิจเอื้อนายทุน ด้านเครือข่ายรัฐสวัสดิการ จี้รัฐบาลต้องสร้างรัฐสวัสดิการไปพร้อมๆ กับประชาธิปไตย ย้ำต้องแก้ไขทุเรื่องควบคู่กับรัฐธรรมนูญ
(18.8.62) อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม กลุ่มสังคมนิยมประชาธอิปไตยและคณะกรรมการรณงค์เพื่อประชาธิปไตย ได้จัดให้มีการเสวนาทางวิชาการเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำทางอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ ในรัฐธรรมนูญและรัฐไทย” นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าว ว่า ตลอดการบริหารงานของรัฐบาลนี้ทำให้ความเจริญกระจุกตัวอยู่ที่เศรษฐีไม่กี่ครอบครัว แต่คนจนไม่ได้อะไร จนเกิดช่องว่าง 20 เท่า และปัจจุบันไทยติดอันดับ 1 เรื่องความเหลื่อมล้ำของโลก เป็นภาวะดูดเงินจากกระเป๋าคนจนไปเลี้ยงคนรวย เห็นได้จากเงินเพื่อผ่อนบ้าน ราคา 3 ล้านบาท ผ่อนหมดราคาอยู่ที่ 6 ล้านบาท บาท ส่วนต่างก็ไปตกอยู่ที่นายทุน ในขณะที่ต่างประเทศอย่าง เยอรมันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านเพียงแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น แต่ไทยร้อยละ 6-10 เรียกว่าต้องทำงานหนัก ตลอดชีวิต และเป็นที่มาของหนี้ครัวเรือนที่พุ่งไปถึงร้อยละ 80 ของจีดีพี
นายสมยศ ยังกล่าวว่า ถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยยอมรับว่าเป็นเรื่องที่แข็งแกร่ง แต่เป็นการกินบุญเก่า ไม่มีนโยบายใหม่ๆ เหมือนที่รัฐบาลพลเรือนในอดีตเคยมีนวัตกรรมการท่องเที่ยวมาดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเช่น Amasing Thailand หรือ Unseen Thailand แต่รัฐบาลนี้คิดไม่ออก จึงไปเน้นการแจกเงิน ซึ่งก็ต้องจับตาว่าใครจะได้ประโยชน์ เพราะอย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ได้ประโยชน์ก็คือนายทุนเพราะมีการกำหนดให้ใช้ได้เฉพาะร้านเท่านั้น ร้านค้าชุมชนรากหญ้าไม่ได้อะไร รวมถึงเรื่องการส่งออก ซึ่งคงคาดหวังไม่ได้อาจจะขยายตัวเพียงร้อยละ 5-7 แต่ต้องดูเนื้อแท้ของไทยด้วย เราเป็นฐานการผลิตของต่างชาติ ที่สุดท้ายต่างชาติก็ซื้อวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ จากบริษัทแม่ ที่ต่างประเทศเข้ามา คนไทยไม่ได้อะไร ได้เพียงค่าจ้างเท่านั้น
อย่าไรก็ตาม ปัญหาคือเรามีรัฐบาลมาจากการรัฐประหาร ที่ล่าสุดยังถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบในถ้อยคำที่ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสะท้อนว่ามีอะไรหรือไม่ ทั้งที่เป็นฉบับที่ตัวเองทำขึ้นมา แล้วจะใช้อะไรไปจัดการกับคนที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังเป็นกฎหมายที่ทำให้เกิดสภาปริ่มน้ำ สภาพิการ ปรากฎการณ์พรรคเล็กเล่นตัวเพื่อให้ได้ค่าตัวมากขึ้น มีการต่อรองทางการเมืองของพรรคการเมืองลูกผสม ไม่ใช่พรรคที่เกิดจากการรวมอุดมการณ์เดียวกัน จึงมองว่าทางรอดทางเศรษฐกิจต้องเอารัฐบาลพลเรือนกลับมา และเป็นประชาธิปไตยให้ได้ รวมถึงนำสิทธิเสรีภาพกลับคืนมา
ด้าน นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (WE FAIR) กล่าวว่า วันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ได้มาพูดคุยถึงเรื่องที่มีความจำเป็น ที่ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขโจทย์สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องของรัฐสวัสดิการ ซึ่งในยุครัฐบาลเผด็จการ มีความถดถอยในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น วันนี้รัฐบาลต้องสร้างรัฐสวัสดิการไปพร้อมๆ กับประชาธิปไตย อย่างกรณีเรื่องของปัญหาบัตร 30 บาท ที่วันนี้มีบางโรงพยาบาลมีการจ่ายร่วม ขณะเดียวกัน เรื่องของระบบการศึกษา ที่มีความเหลื่อมล้ำ ทั้งหมดนี้ ทำให้ประเทศไทยวันนี้ ยังมีทั้งคนที่รวยที่สุดแต่คนจนก็ยังมีเป็นจำนวนมากเช่นกัน เรื่องดังกล่าว มาจากเรื่องของโอกาสการเข้าถึงทางการศึกษา ขณะเดียวกัน สิ่งที่เร่งแก้ไขในวันนี้ คือเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ยุทธศาสตร์ชาติที่มากำหนดกรอบของประเทศ กฏหมายการเลือกตั้ง รวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ นอกจากนี้ ทั้งหมดที่ตนเองได้กล่าวไปนั้น ต้องทำไปพร้อมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าว ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องแก้ไขเพราะแย่งอำนาจประชาชนทำให้อำนาจของประชาชนลดลง ส่งเสริมกลุ่มทุน ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าทั้งหมดขาดความสมดุลของอำนาจ และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ตนเองตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยยังใช้นิติรัฐในการปกครองอยู่หรือไม่ รวมถึงการตั้ง ส.ว. มีการตั้งคณะกรรมการสรรหา ส.ว.กี่คนและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงเรื่องของการถวายสัตย์ปฏิญาณตนที่ไม่ครบถ้วน มีการตั้งกระทู้ถามในสภาก็ไม่ไปตอบและไม่มีการชี้แแจงเหตุผล แล้วรัฐธรรมนูญจะมีความหมายอะไรหากไม่เคารพ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และทั้งหมดจะส่งผลให้บ้านเมืองเกิดปัญหา
นายพิชัย ยังกล่าวว่า การที่ให้ ส.ว.เข้าไปร่วมพิจารณากฎหมายที่จะมีการปฏิรูป ส่วนใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ไม่อยากเปลี่ยนแปลง หากให้พิจารณากฎหมายปฏิรูปแล้วจะได้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ดังนั้น ไม่มีทางที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้
นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มาตรการแก้ไขความเหลื่อมล้ำของรัฐบาล ไม่ส่งเสริมให้เกิดการแก้ไข แต่เป็นภาพของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เปรียบเสมือนการให้ด้วยความสงสาร จึงถูกออกแบบมาต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำให้คนในสังคมเกิดการแบ่งแยก คนรวยกับคนจนไม่สามารถไปโรงเรียน ใช้โรงพยาบาล บริการต่างๆ แบบเดียวกันได้ เพราะถูกผูกโดยฐานะทางเศรษฐกิจ ทางแก้ไขของประเทศไทย ที่ควรจะเป็น คือ จัดทำระบบสวัสดิการถ้วนหน้าให้ประชาชน
นายษัษรัมย์ เน้นย้ำว่า รัฐบาลต้องเปลี่ยนแนวคิดที่บอกว่า การดูแลรัฐสวัสดิการไม่ใช่หน้าที่ของประชาชน แต่เป็นรัฐมีหน้าที่ต้องดูแลให้ประชาชน สามารถตั้งตัวได้ ส่วนรัฐสวัสดิการนั้น ประเทศไทยสามารถทำได้ โดยใช้เงินงบประมาณเพียง 1 ใน 3 ของงบประมาณด้านความมั่นคง หรือนำมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ให้กับกลุ่มชนชั้นนำ ก็สามารถลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำได้แล้ว และเมื่อมนุษย์มีความมั่นคงทางชีวิต รู้ว่าแก่ไปจะเป็นอย่างไร วางแผนชีวิตได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจ จะเกิดขึ้นได้
รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กล่าวว่า รัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลวในการปฏิรูปเกือบทุกเรื่องที่เป็นปัญหาในสังคมไทย ที่เคยรับปากจะทำการปฏิรูป11ด้านให้แล้วเสร็จก่อนเลือกตั้งก็ยังไม่มีการดำเนินการทั้งในเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคม ตำรวจ พลังงาน ฯลฯ วิธีการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจทำด้วยการสร้างหนี้ให้คนไทย คือการจัดงบประมาณขาดดุลในแต่ละปีจำนวนมหาศาล โดยที่รัฐบาลทำตัวเป็นซานตาครอส ทำให้คนไทยแบกรับภาษีอย่างหนัก กลุ่มผู้ใช้แรงงานจะยากจนมากที่สุด ถูกแช่แข็งค่าจ้างขั้นต่ำเอาไว้ ทำให้คุณภาพชีวิตตกต่ำ นอกจากนี้ในส่วนของการสร้างเศรษฐกิจพิเศษยังเป็นการให้สิทธิประโยชน์มากมายกับทุนต่างชาติ แต่เดิมคิดจะทำกันตั้งแต่ปี 2548 แต่รัฐบาลพลเรือน ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจึงทำให้ยังไม่มีการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา แต่พอมีการรัฐประหารก็ใช้อำนาจเผด็จการเร่งรัดในการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะการเปลี่ยนแปลงมาประชาชนในพื้นที่ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม และด้านผังเมือง ขอให้จับตาดูอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะการลงทุนเป็นแสนล้านบาทกันต่อไปในความสัมพันธ์ระหว่างทุนข้ามชาติกับรัฐบาลเผด็จการประยุทธ์ จันทร์โอชา สำหรับทางออกจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยกันให้มากขึ้น