
เพนกวิ้น-รุ้ง : เหยื่อโหดของราชทัณฑ์
วันที่ 9 มีนาคม พวกเรา 4 คน ถูกจำแนกให้กระจายออกไปตามแดนต่างๆ อานนท์ นำพา เนื่องจากออกศาลบ่อยจึงถูกกักกันโรคโควิดอยู่แดน 2 หมอลำแบ๊งค์ย้ายไปอยู่แดน 8 เป็นแดนนักโทษคดีหนักซึ่งหมอลำแบ๊งค์เคยอยู่มาก่อน ส่วนผมถูกย้ายไปแดน 6 ทั้งๆที่เคยอยู่แดน 1 มาก่อนถึง 7 ปี ส่วนเพนกวิ้น ซึ่งคาดว่าจะได้มาอยู่แดน 6 กับผม กลับถูกเด้งให้ไปอยู่แดน 5 ซึ่งเป็นแดนสำหรับนักโทษเด็ดขาดแล้ว เป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก ผมจึงสรุปได้ว่า กรมราชทัณฑ์ได้แยกพวกเราออกจากกัน ไม่ให้มีโอกาสพบปะกันเลย เท่ากับว่า พวกเราจะไม่ได้ปรึกษาหารือในเรื่องคดีได้ เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม การถูกจำแนกให้อยู่กันคนละที่ กรมราชทัณฑ์อ้างว่า เป็นระเบียบแต่ความจริงแล้ว เป็น ส่วนหนี่งเป็นการทำให้แต่ละคนโดดเดี่ยว โดยเฉพาะเพนกวิ้นเป็นนักโทษระหว่างการพิจารณาของศาลตามปกติแล้วก็จัดให้อยู่แดน 1 ,4,6 ส่วนแดนอื่นก็เป็นพวกนักโทษเด็ดขาดแล้ว หากนำไปอยู่ด้วยกันก่อให้เกิดอันตรายได้มากดังนั้นจึงเป็นการทรมานกันอย่างชัดเจนทีเดียว
วันที่ 15 มีนาคม 2564 เป็นวันนัดหมายคุ้มครองสิทธิของจำเลย เป็นการเรียกให้ดูเท่ห์มากกว่าเพราะอันที่จริงก็คือการนัดพร้อมเพื่อตรวจสอบบัญชีพยานสองฝ่ายแล้วจะได้กำหนดวันนัดสืบพยานกันต่อไป การนัดพร้อมครั้งนี้เร็วกว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับคดีทั่วไป เรียกได้ว่าทำให้พวกเราที่ถูกคุมขังตั้งตัวกันไม่ติด ไม่มีเวลาจะเตรียมต่อสู้คดีได้เลย
ผมถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวออกศาล โดยเจ้าหน้าที่แดน 6 ทำการตรวจค้นอย่างละเอียดทุกซอกมุมของร่างกาย ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงในและไม่ให้ใส่รองเท้ามาศาล ได้แต่สวมใส่ชุดนักโทษที่มีกางเกงขาสั้นและเสื้อสีน้ำตาลออกมา
การไม่ได้ใส่กางเกงใน-เดินเท้าเปล่าเช่นนี้ อานนท์ นำภาบอกว่ารับได้ แต่สำหรับผมไม่ได้ใส่กางเกงในออกมาศาลแบบนี้รู้สึกเหมือนเป็นนาฬิกาโบราณ ขาดความอบอุ่นและขาดความเชื่อมั่นในตนเองเป็นอย่างมาก
ผมมาเจออานนท์ นำภา รออยู่ก่อนแล้วที่ตรงบริเวณสำหรับพิมพ์ลายนิ้วมือก่อนออกจากเรือนจำ ตามมาด้วยหมอลำแบ๊งค์ และ เพนกวิ้น ซึ่งช้ากว่าเพื่อน ทั้งนี้เพนกวิ้น ถือปากกาและสมุดเปล่าออกมาด้วย โดยบอกว่า เจ้าหน้าที่ตรวจค้นแดน 5 ปล่อยให้เอาออกไปศาลได้เพราะเพนกวิ้นอ้างเป็นสิทธิในการพบทนายความเพื่อต่อสู้คดี เวลา 8.00 น. ทั้งสี่คนถูกตรวจค้นอย่างละเอียดอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ตรวจค้นขอดูสมุดของเพนกวิ้น ซี่งมีบันทึกในหน้าแรกของสมุดเกี่ยวกับประเด็นการต่อสู้คดีเพื่อปรึกษากับทนายความ ผู้คุมที่ตรวจค้นจึงยอมให้เพนกวิ้นนำออกไปที่ศาลได้
พวกเราทั้งสี่คนได้ขึ้นรถควบคุมนักโทษ แยกออกจากนักโทษคนอื่นมาถึงศาลเวลา 8.30 น. มีเจ้าหน้าราชทัณฑ์หนาตาเป็นพิเศษ ไม่อนุญาตให้ทักทายสื่อมวลชน แต่เพนกวิ๊นชูมือสามนิ้ว ทันทีที่ลงจากรถ พวกเราสี่คนถูกผลักดันให้เข้าไปภายในห้องขังอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวได้ถ่ายภาพหรือสัมภาษณ์พวกเราได้ มีการตรวจค้นอีกครั้งอย่างละเอียด โดยที่เพนกวิ้น นำสมุดปากกาขึ้นไปยังห้องพิจารณาของศาลได้
ที่ต้องบันทึกไว้ตรงนี้เนื่องจากในวันนี้ (ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 1 ) วันเดียวกันนี้เพนกวิ้นได้แถลงต่อศาลที่มีใจความถึง ความเลวร้ายของมาตรา 112 และการไม่ได้รับสิทธิประกันตัว จึงได้ประกาศอดข้าว จนกว่าจะได้รับสิทธิการประกันตัวสำหรับต่อสู้คดี เป็นคำแถลงต่อหน้าผู้พิพากษาและคำแถลงทั้งหมดนี้เพนกวิ้น ยกร่างขึ้นระหว่างที่นั่งฟังการตรวจสอบพยานของฝ่ายโจทก์ และมอบให้กับทนายความกฤษฎางค์ นุตจรัส ไว้
ผมมาทราบภายหลังจากเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า ทางกรมราชทัณฑ์มีคำสั่งย้ายผู้คุม 3 คน ( จากแดน 5 หนึ่งคน เจ้าหน้าที่ตรวจค้นก่อนออกศาล 1 คนและเจ้าที่ตรวจค้นที่ศาลอาญาอีก หนึ่งคน)ที่ปล่อยให้เพนกวิ้นนำสมุดและปากกาออกไปศาล โดยย้ายให้ออกไปทำงานต่างจังหวัด ผมรู้สึกเศร้าใจกับชะตากรรมเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างแรงทั้งๆที่ได้ทำหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริตและเคารพสิทธิผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคดีของศาล การออกคำสั่งย้ายผู้คุมสามคนที่ตรวจค้นในวันนี้ออกไปอยู่เรือนจำต่างจังหวัดโดยไม่ได้ไต่สวนข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย 3 คนนี้ ที่ตรวจค้นแล้วพบว่าเป็นสมุดเปล่ามีข้อเขียนอยู่แค่ 2-3 บรรทัดเกี่ยวกับเรื่องที่จะปรึกษาทนายความในคดีนี้ จึงปล่อยให้นำออกไปได้ ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ที่กรมราชทัณฑ์ออกกฎระเบียบห้ามผู้ต้องขังคดีระหว่างการพิจารณาของศาลพกสมุดและปากกาไปศาล ทั้งๆที่ เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการต่อสู้คดี การย้ายเจ้าหน้าที่สามคนออกไปทำงานต่างจังหวัด สร้างความหวาดวิตกให้กับเจ้าที่ระดับปฏิบัติการคนอื่นๆ จนหลายคนทำงานกันแบบประสาทแดกเมื่อต้องเจอกับพวกเรานักโทษการเมือง
ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์นั้นเลือกกระทำกับพวกเรานักโทษการเมือง(เสมือนการมัดมือมัดตีน) ตัดโอกาสการต่อสู้คดีและประสงค์จะให้พวกเราได้รับความทุกข์ทรมานจนเกินไป กดดันกลั่นแกล้งกันทุกรูปแบบ หากมีเจ้าหน้าที่คนใดให้ความสนิทสนมก็จะโดนโยกย้ายหน้าที่การงาน ดูจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมพวกเราแล้ว กระทำกับพวกเราเลวร้ายยิ่งกว่านักโทษในคดีพ่อค้ายาเสพติดและคดีฆาตกรรมหั่นศพของเมืองไทยเสียอีก ทั้งๆที่คดีตามมาตรา 112 สูงสุดแค่ 15 ปี และโดยเฉลี่ยศาลมักจะลงโทษในอัตราคดีละ 5 ปีเท่านั้น
หากรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้รับรู้เรื่องนี้ และจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐมนตรียุติธรรมอย่างเต็มความภาคภูมิใจแล้วล๊ะก้อ ผมก็ปรารถนาจะขอคืนความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนนี้ด้วย
การไม่ให้เอาปากกาและสมุดมาที่ศาลดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญแต่ทว่าสิ่งนี้เป็นการยืนยันได้ว่า การคุมขังนักโทษการเมืองอย่างพวกเราทั้งสี่คนนั้นก็เพื่อไม่ให้มีโอกาสต่อสู้คดีได้ แม้แต่จะใช้สมุดปากกาบันทึกการพิจารณาคดีของศาลยังถูกห้ามเช่นนี้แล้ว เท่ากับจำเลยอย่างพวกเราไม่มีโอกาสจะเตรียมคดีได้แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เป็นการยัดเยียด ข้อกล่าวหา ปรักปรำและเป็นการทำคดีฝ่ายเดียวแบบมัดมือชกนั่นเอง
ความไม่เป็นธรรมแบบนี้จะเรียกได้หรือไม่ว่า เป็น”กระบวนการยุติธรรม” ตามที่นักกฎหมายผู้สูงส่งในประเทศนี้มักจะเรียกกันอย่างสวยหรูว่า นี่คือกระบวนการยุติธรรม ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่รู้ว่ามีประเทศไหนในโลกนี้เขาทำแบบนี้กันบ้าง ?
ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีก นึกถึงรุ้งที่ต้องอยู่คนเดียวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ยิ่งโดดเดี่ยว อ้างว้างเป็นทวีคุณ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความเลวร้ายที่เกิดขึ้นขณะที่พวกเราคณะราษฎรทั้ง 7 คน กำลังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำได้อีก ไม่เคยได้ใช้คำหยาบคายหรือคำผรุสวาทมาก่อน แต่เมื่อได้ไปอยู่แดน 6 ได้ซึมซับเอาภาษาคนคุกไปเต็มที่ คราวนี้จึงขอปิดท้ายเรื่องนี้คำเดียวสั้นๆ “ควย ”
อ่านตอนที่ 3 พรุ่งนี้ : แผนชั่วราชทัณฑ์ ตรวจโควิดตอนตีสอง ขยันทำงานหรือลวงไปฆ่า ?
สมยศ พฤกษาเกษมสุข 29.4.64
