
ก้าวข้ามความขัดแย้ง:กลลวงหมาแก่
จดหมายฉบับที่ 5(8.3.66) ของประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นเพียงการฟอกขาวให้ตนเองในเรื่องการทำรัฐประหารขยายความให้ตนเองเป็นโซ่ข้อกลางที่เชื่อมต่อระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับเสรีนิยม หรือนัยหนึ่งเป็นการเสนอตนเองเป็นนายกคนกลาง เพราะเหตุที่พรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมจะได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หากเพื่อไทยได้เสียงไม่ถึง 250 เสียงจำเป็นต้องจับมือกับพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล
ประวิตร วงศ์สุวรรณ ไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มอำนาจ 3 ป.ซึ่งประกาศชัดเจนว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และเป็นส่วนหนึ่งของการค้ำจุนรัฐเผด็จการทหาร(ที่ตนเองใช้คำว่า อำนาจนิยม)เพราะปี 2553เป็นรองผอ.ศอฉ.ไปฆ่าคนเสื้อแดงตายไปกว่า 100 ศพ หลังรัฐประหาร 2557ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าคสช. ทั้งประยุทธ์และประวิตร จึงเป็นทรราชย์คู่แฝดที่ไม่มีวันแตกแยกกันได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเสมือนซากศพทางการเมืองไปแล้วหากยังคงมัดรวมกันพรรคพลังประชารัฐก็จะตกต่ำไปด้วย หากแยกกันเดินไปคนละพรรค อาจทำให้ได้จำนวนสส.มากขึ้น ดังนั้นหากเพื่อไทยแม้ได้เสียงข้างมากในสภาแต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงให้เกินไปกว่า 375 เสียงก็จำเป็นที่ต้องใช้บริการโซ่ข้อกลางอย่างประวิตร วงศ์สุวรรณจัดการให้ซึ่งรวมไปถึงการก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยการเปิดทางให้ทักษิณ ชินวัตรกลับประเทศไทยได้
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็จะครองอำนาจนำกันต่อไปอีก โดยมีฝ่ายเสรีนิยมอย่างพรรคเพื่อไทยไปได้ส่วนแบ่งในอำนาจรัฐส่วนหนึ่ง แต่ความขัดแย้งหลักระหว่างอำนาจนิยมและประชาธิปไตยจะยังคงดำรงอยู่กันต่อไป
ก้าวข้ามความขัดแย้งของประวิตรจึงไม่ต่างไปจากกลลวงของหมาแก่ที่เป็นเพียงการประนีประนอมกันชั่วคราวบนฐานของการแบ่งปันอำนาจรัฐ โดยที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก เพราะโครงสร้างการเมืองยังเป็นอำนาจนิยมแบบเดิม ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ดังนั้นความขัดแย้งหลักระหว่างอำนาจนิยมและประชาธิปไตยจึงดำรงอยู่ต่อไป ไม่อาจหยุดหรือก้าวข้ามไปได้ง่ายๆจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม
สมยศ พฤกษาเกษมสุข 9.3.66