
จากที่เคยเห็นหมอเก็ทในชุดเสื้อกาวน์ยาวสีขาวทำงานในห้องรังสีของโรงพยาบาล กลายมาเป็นนักโทษการเมืองในชุดกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลแก่และเสื้อกุยเฮงสีน้ำตาลอ่อน ขาสองข้างถูกพันธนาการด้วยกุญแจข้อเท้า ถูกคุมตัวเข้าห้องพิจารณาคดีตามความผิดมาตรา 112 เขาปฏิเสธกระบวนการพิจารณาคดีของผู้พพิพากษาด้วยการ นั่งหันหลังให้ผู้พิพากษาตลอดทั้งวัน และเมื่อเสร็จการพิจารณาคดี เก็ทได้ลุกขึ้นแถลงทวงถามความคืบหน้าของ 2 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิประกันตัวและให้ยุติการดำเนินคดี ม.112 ทั้งหมด
เก็ทเกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 ในครอบครัวสุรฤทธิ์ธำรงที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เขตบางซื่อ กทม. จบระดับปริญญาตรีคณะแพทย์ศาสตร์ สาขารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช หลังโรงพยาบาลวชิระ ติดกับวังศุโขทัย ที่ทำให้เก็ทได้สัมผัสกับเรื่องราวของกษัตริย์ ด้วยการศึกษาจากหนังสือและติดตามข่าวสารด้านการเมืองระหว่างที่กำลังศึกษาแพทย์รังสีเทคนิค
เก็ทชื่อจริงว่า โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง เริ่มเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองจากการเป็นผู้ร่วมชุมนุมในปี 2563 ที่สกายวอค แล้วเริ่มสมัครเข้าเป็นกลุ่ม We Volunteer ที่มีโตโต้หรือนายปิยรัฐ จงเทพ สส.พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในเวลานั้น จนเก็ทได้ตำแหน่งแพทย์สนามประจำกลุ่ม พร้อมๆกับ จัดตั้งกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ นำนักศึกษาแพทย์พยาบาล เป็นอาสาสมัครหน่วยแพทย์สนาม เข้าร่วมการชุมนุมของนักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์เมื่อรัฐบาลใช้กำลังตำรวจปราบปรามจราจลยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บจำนวนมาก
แต่แทนที่จะดำเนินคดีกับตำรวจปราบปรามจลาจลที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนปรากฏว่า ฝ่ายตำรวจกลับจับกุมดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม ซึ่ง มีเก็ท รวมอยู่ด้วยจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม REDEM ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 หน้าศาลอาญา
กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เริ่มมีบทบาทในการต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลสอบสวนกรณีอุ้มฆ่าวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงที่แกนนำราษฎร อาทิเช่น เพนกวิ้น รุ้ง อานนท์ ใผ่ ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว กลุ่มโมกหลวง โดย เก็ทเป็นกำลังสำคัญในการรณรงค์ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองร่วมกับกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยจนกระทั่งไปจัดงานระลึกถึงกษัตริย์ตากสิน กรุงธนบุรี ในวันที่ 6 เมษายน 2565 จนถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือมาตรา 112 เป็นจำเลยร่วมกับกฤษพล ศิริกุล (โจเซฟ)และ กัลยมล สุนันรัตน์ (มิ้น)เพราะเป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์ที่แตกต่างไปจากการรับรู้ของคนไทย
คดีนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เก็ทเห็นว่าไม่อาจยอมรับกระบวนการยุติธรรมได้เพราะตัวบทกฎหมายมาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมก็มีความโน้มเอียงต่อฝ่ายอำนาจรัฐที่เป็นโจทก์ในการจำกัดสิทธิสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เขาจึงปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมด้วยการไม่แต่งทนายความ นั่งหันหลังให้กับผู้พิพากษา พร้อมด้วยคำประกาศขอให้มีการยกเลิกมาตรา 112 และปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด
ก่อนหน้าการถูกคุมขัง เก็ท มีบทบาทสำคัญในการจัดการชุมนุมใหญ่ในช่วงของการโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ สมาชิกวุฒิสภา (สว)ตั้งข้อรังเกียจพรรคก้าวไกลในนโยบายแก้ไขมาตรา 112 เก็ทจึงต่อต้านการทำหน้าที่ของ สว. ในฐานะที่เป็นตัวแทนของอำนาจจารีตในระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข เขาเรียกร้องต่อพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยให้ยึดมั่น ใน 8 พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อให้พรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จแต่ตัวเขาก็ถูกตัดสินในคดีมาตรา 112 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 เหตุปราศรัยเอ่ยพระนาม “พระราชินีสุทิดา” ในม็อบ ทัวร์มูล่าผัว โดยมีเจตนามุ่งหมายถึงรัชกาลที่ 10 และพระราชินี ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือน
ส่วนคดีที่ 3 เก็ทโดนคดีจากวันแรงงานปี 65 ในการปราศรัยถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ในเรื่องเกี่ยวกับการไปร่วมงานแฟชั่นต่างประเทศ
ทั้งสามคดีเก็ทขอถอนการประกันตัว ถอนการแต่งตั้งทนายความปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน พร้อมกับประกาศข้อเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112 และปล่อยตัวนักโทษการเมืองทุกคน ซึ่งการกระทำเช่นนี้เท่ากับเก็ทยอมสูญเสียอิสรภาพของตนเองไปอีกยาวนานในการต่อสู้กับกฎหมายและจารีตการเมืองที่เก็ทมองว่า ได้ทำลายสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของประชาชนลงไปจนหมดสิ้นแล้ว
สมยศ พฤกษาเกษมสุข 27.9.66
ขอบคุณ ข้อมูลจาก พิชญา เกตุอุดม แกนนำโมกหลวง /// ขอบคุณ ไข่แมวชีส อนุเคราะห์ภาพถ่าย








