
ชาวเชียงใหม่เรียกร้องสิทธิประกันตัวให้อานนท์ นำภาและนักโทษการเมืองกว่า 50 ชีวิตที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
กลุ่มยืนหยุดทรราช โดยภัควดี วีระภาสพงษ์ และกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย โดยสมยศพฤกษาเกษมสุข จำนวน 10 คน ถือภาพอานนท์ นำภา สิรภพ ภูมิพึ่งภพ โสภณ สุรฤทธ์ธำรง และข้อความ สิทธิประกันตัวคือสิทธิมนุษยชน ปล่อยนักโทษการเมือง นิรโทษกรรม ม.112 ที่หน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ และ สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 โดยมีนายชาติชาย แก้วกก ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดเชียงใหม่ มารับหนังสือ
ภัควดี วีระภาสพงษ์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีปัญหาในการประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 แต่ในกรุงเทพ และจังหวัดอื่นๆ ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ทำให้เข้าไม่ถึงการอำนวยความยุติธรรม เป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน จึงหวังว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะได้นำข้อร้องเรียนของชาวเชียงใหม่ในเรื่องสิทธิประกันตัวของประชาชนในการนำเสนอต่อประธานศาลฎีกาเพื่อกำหนดแนวทางประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎร
จดหมายยังระบุด้วยอีกว่า จำเลยในคดีตามมาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็น ‘วุฒิ’, อานนท์ นำภา, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ, โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือจำเลย/ผู้ต้องหาคนใดก็ตามที่คดียังไม่ถึงที่สุด ล้วนสมควรได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกับคุณทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้หลักปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
หลังจากการยื่นหนังสือเสร็จแล้ว กลุ่มได้มารวมตัวที่หน้าอนุสาวรีย์ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ โดยมีศรีวรรณ จันทร์ผง เป็นผู้อ่านบทกวีของอานนท์ นำภา ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 32567 ธิติมา ทองศรี อ่านจดหมายของ สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธหรือขนุน และ โบ้กลุ่มกำปั้นซ้าย อ่านจดหมายของโสภณ สุรฤทธิ์ธำรงหรือเก็ท ระหว่างการอ่านบทกวีและจดหมายทำให้วันดี ชาวเชียงใหม่ถือรูปอานนท์ นำภา ถึงกับร้องให้หลั่งน่้ำตาออกมา โดยนาย สมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า นักโทษการเมืองเหล่านี้ถูกกล่าวหาตามาตรา 112 เพราะพูดความจริงที่ปรารถนาให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้า เป็นประชาธิปไตย แต่กลับโดนเล่นงานด้วยมาตรา 112 คดีตามมาตรา 112 เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 2549และ 2557 เนื่องจากรัฐประหารมีการอ้างเพื่อปกป้องสถาบันกษํตริย์ จึงได้ใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร ดังนั้น มาตรา 112 จึงเป็นคดีที่เป็นแรงจูงใจการเมือง อันเนื่องมาจากการต่อต้านการรัฐประหาร ดังนั้นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงต้องทำการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ขอส่งเสียงเรียกร้องทุกพรรคการเมือง ให้สนับสนุนร่างพรบ.นิรดทษกรรมประชาชนที่รวมคดีมาตรา 112 ไว้ด้วย การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 จะเป็นการยุติความขัดแย้งในสังคม
เป็นที่น่าสังเกตุระหว่างที่ ภัควดี วีระภาสพงษ์ กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่หน้าสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 อยู่นั้น มีสตรีสูงวัยชาวเชียงใหม่ถือป้ายข้อความว่า นิรโทษกรรมประชาชนรวม112 เพื่อถวายเป็นราชกุศล 72 พรรษา โดยมวลชนดังกล่าวได้ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ขอให้รัฐบาลที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดี 112 เพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานมากว่า 20 ปีแล้ว ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าด้วยความสามัคคีภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 10
เครดิตภาพ Lanner และ UDD
—————————————————————————————————————————————-
นางอโนชา ชีวิตโสภณ
ประธานศาลฎีกา
ศาลฎีกา เลขที่ 6 ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
นายสถาพร วิสาพรหม
อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5
สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5
ถนน โชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50300
เรียน ประธานศาลฎีกาและอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5
ในนามของ “กลุ่มยืนหยุดทรราช” ซึ่งประกอบด้วยนักกิจกรรมเพื่อสังคมที่ได้ปฏิบัติการทางตรง โดยการยืนนิ่งเป็นเวลา 1.12 ชม. ที่ข่วงประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ มาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เพื่อเรียกร้องให้ศาลเคารพสิทธิประกันตัวของผู้ต้องหาและจำเลย ซึ่งถูกกล่าวหาและดำเนินคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออกอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 272 คน ใน 303 คดี และหลายคนไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณา
กลุ่มยืนหยุดทรราชมีความเห็นว่า การปฏิเสธสิทธิประกันตัวที่เกิดขึ้น ไม่สอดคล้องกับหลักการกฎหมายทั้งในและระหว่างประเทศ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (presumption of innocence) ซึ่งมีการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรค 2 และวรรค 3 ที่ว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” และ “การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี”
หลักการในประเทศนี้สอดคล้องตรงกันกับหลักการในระดับสากล ในบรรดาสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันรับรอง รวมทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อ 11 ที่ว่า “บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาด้วยความผิดทางอาญา มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาโดยเปิดเผย” และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง (ICCPR) ข้อ 14 วรรค 2 ที่ว่า “บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด”
การคุ้มครองหลักการนี้ยังปรากฏในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ รวมทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/16 ที่ว่า “การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อ” ว่า “ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ และจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน”
ความจริงแล้ว หลักการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ มีที่มาตั้งแต่หลักกฎหมายสมัยโรมัน ดังภาษิตละตินที่ว่า “Ei incumbit probatio qui dicit, non qui negat” “ภาระพิสูจน์ย่อมตกเป็นของบุคคลผู้กล่าวหา ไม่ใช่บุคคลที่แก้ต่างว่าไม่ได้กระทำ” หมายถึงว่าตราบที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทราบว่าบุคคลนั้นมีความผิดจริง ย่อมต้องสันนิษฐานว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และศาลต้องอำนวยให้บุคคลเหล่านั้นได้ใช้สิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และเสมอภาคกับฝ่ายที่เป็นผู้ร้อง (equality of arms)
การปฏิเสธสิทธิประกันตัวโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นอกจากจะเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีที่รัฐมีต่อกฎหมายทั้งภายในและระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการจำกัดสิทธิในการต่อสู้คดี ทั้งให้ผู้ต้องหา/จำเลยในคดีเหล่านั้นไม่ได้รับสิทธิในการพิจารณาอย่างเป็นธรรม (right to fair trial) ซึ่งมีการบัญญัติรับรองไว้ทั้งกฎหมายภายในประเทศและระหว่างประเทศเช่นกัน
ดังกรณีของ ‘วุฒิ’ อดีตพนักงานรักษาความปลอดภัย วัย 48 ปี ซึ่งนับแต่วันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีเขาต่อศาลอาญามีนบุรี จากการถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊ก 12 ข้อความ วุฒิไม่เคยได้รับสิทธิประกันตัวเลย ถูกสั่งขังมาตลอด โดยศาลมักอ้างว่า “พฤติการณ์เป็นความผิดร้ายแรง” แต่กลับไม่คำนึงว่า การจำกัดอิสรภาพของเขาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเช่นนี้ ย่อมเป็นการจำกัดการเข้าถึงทนายความและพยานหลักฐานที่เขาจะสามารถนำเสนอต่อศาล เพื่อแก้ต่างให้กับตนเองได้ ส่งผลให้ฝ่ายจำเลยต้องเสียเปรียบฝ่ายโจทก์ ไม่อาจเรียกว่าเป็นการพิจารณาอย่างเป็นธรรมได้เลย
จำเลยในคดีตามมาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็น ‘วุฒิ’, อานนท์ นำภา, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ (ขนุน), โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง (เก็ท) หรือจำเลย/ผู้ต้องหาคนใดก็ตามที่คดียังไม่ถึงที่สุด ล้วนสมควรได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกับคุณทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้หลักปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
กลุ่มยืนหยุดทรราชจึงมีข้อเรียกร้องให้ศาลเคารพสิทธิประกันตัว คำนึงถึงความสำคัญของหลักกฎหมายทั้งในและระหว่างประเทศ หลักกฎหมายที่ดำรงสืบมาเป็นพันปีตั้งแต่สมัยโรมัน และให้พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา/จำเลย โดยเฉพาะในคดีตามมาตรา 112 ซึ่งได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมืองอย่างชัดเจน ไม่ได้เป็นไปเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างที่อ้างแต่อย่างใด เว้นแต่มีเงื่อนไขที่สอดคล้องกับช้อยกเว้นตามกฎหมาย รวมทั้งมาตรา 108/16 อย่างขัดเจน
ขอแสดงความนับถือ
กลุ่มยืนหยุดทรราช
กลุ่มประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่









