
ความเป็นมาของวันกรรมกรสากล
สมศักดิ์ สามัคคีธรรม
เด็กอายุ 2 ขวบที่พ่อแม่พาไปร่วมพิธีเช็งเม้ง คงมิได้มีความรู้สึกนึกคิด อะไรมากไปกว่าได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด พร้อมกับมีการไหว้ก้อนอิฐก้อนปูนเท่านั้นเอง ทำนองเดียวกัน คนงานที่ไปร่วมงานวันเมย์เดย์โดยมิได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาก็คงมิได้มีความรู้สึกนึกคิดอะไรมากไปกว่าได้หยุดงาน ไปร่วมเดินขบวนสู่งานวัดซึ่งจัดขึ้นบนท้องสนามหลวงโดยมิต้องเสียค่ารถไปกลับ
การเข้าร่วมวันเมย์เดย์โดยแท้จริงนั้น จำเป็นที่จะต้องศึกษาประวัติและต้นกำเหนิดของวันเมย์เดย์อย่างละเอียดลึกซึ้ง บทความนี้จะได้บรรยายถึงความเป็นมาของวันดังกล่าว ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากประเทศยุโรปและอเมริกา ประมาณทศวรรษ 1880 พอสังเขป
- ความป่าเถื่อนของสังคมอุตสาหกรรมในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 14 ถึงต้นศตวรรษที่ 19
ประมาณศตวรรษที่ 13-14 สภาพสังคมทาสติดที่ดินในยุโรปตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอย่างมาก อันสืบเนื่องจากชาวนาแข็งข้อ ไม่ยอมตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยของขุนนางเจ้าของที่ดินอีกต่อไป ชาวนาที่ต้องล้มละลายจำนวนมากได้อพยพเข้าสู่เมือง ทำให้สังคมเมืองขยายตัวพร้อม ๆ กับการค้าแบบเสรีเริ่มเติบโต การผลิตแบบอุตสาหกรรมเริ่มก่อตัวขึ้นและค่อย ๆ ขยายตัวเข้าแทนที่สังคมเกษตรกรรมแบบอดีตตามลำดับ
ในช่วงต้น ที่ทุนอุตสาหกรรมเริ่มแตกหน่อนั้น สภาพของทุนยังไม่แข็งพอ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้รัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามาให้ความคุ้มครองแก่ทุนต่าง ๆ ดังจะพบว่าในศตวรรษที่ 4 พระราชบัญญัติโรงงานของอังกฤษกับบังคับให้ขยายชั่วโมงการทำงานเพิ่มมากขึ้น คนงานต้องทำงานประมาณวันละ 16-18 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีวันหยุดประจำสัปดาห์ เด็กอายุ 9-10 ขวบ ถูกกวาดต้อนจากเตียงนอนอันโสโครกในตอนเช้าตรู่เพื่อทำงาน จนกระทั่งเลิกงานในเวลา 22.00-24.00 น. ร่างกายของพวกเขาผอมเกร็น ใบหน้าซีดเซียวและท่าทางเซื่องซึมเหมือนเสาหิน
วิธีการขยายตัวของทุน ตลอดช่วงศตวรรษที่ 14-18 ก็คือการกดค่าจ้างให้ต่ำ พร้อมกับขยายชั่วโมงในการทำงานถึงวันละ 16 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยนั้นคือเครื่องจักรไอน้ำ
ในฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ ฟิลลิป ได้มีการออกกฎหมายโรงงานในปี 1841 กฎหมายฉบับนี้จำกัดจำกัดขอบเขตใช้เฉพาะแรงงานเด็กเท่านั้น โดยกำหนดให้เด็กอายุ 8-12 ขวบ ทำงานวันละ 8-12 ชั่วโมง เด็กอายุต่ำกว่า 12-16 ขวบ ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แต่มีข้อยกเว้นจำนวนมากที่จะให้เด็กแม้จะมีอายุเพียง 8 ขวบ ก็สามารถทำงานกะกลางคืนได้ อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้เป็นเพียงแผ่นกระดาษเท่านั้น ในทางปฏิบัติไม่มีนายทุนที่ไหนยินยอมกระทำตาม
ในอังกฤษ พระราชบัญญัติโรงงานปี 1833 ได้กำหนดให้วันทำงานเป็น 15 ชั่วโมง สามารถจ้างแรงงานเด็กอายุ 13-18 ปี ในช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ แต่ไม่ให้เด็กทำงานเกินกว่าวันละ 12 ชั่วโมง และอนุญาติให้เด็กอายุ 9-13 ขวบ ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ในตอนกลางคืนได้
ส่วนกระแสการต่อสู้ของฝ่ายคนงานในยุโรปได้เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ทั้งในแง่การนัดหยุดงานและการทำลายเครื่องจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ส่วนในอเมริกาได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นครั้งแรกคือ การก่อความวุ่นวาย 8 ชั่วโมง ในปี 1866 สภาทั่วไปฝ่ายแรงงานแห่งรัฐบัลติมอร์ ได้ประกาศว่า “มีความจำเป็นอย่างยิ่งสิ่งแรกที่ต้องกระทำคือ การปลดปล่อยแรงงานให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของเมืองนี้ โดยการออกกฎหมายให้ลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือ 8 ชั่วโมง” และในที่ประชุมของสมาคมแรงงานนานาชาติแห่งกรุงเจนีวาได้มีข้อเสนอว่า “ชั่วโมงการทำงานคือเงื่อนไขหลัก หากคนงานต้องทำงานหลายชั่วโมงเกินไปแล้ว การปรับปรุงและการปลดปล่อยมนุษย์ก็จะไร้ผล ที่ประชุมจึงขอเสนอให้มีการตรากฎหมายกำหนดวันทำงานเป็น 8 ชั่วโมงต่อวัน”
- การเคลื่อนไหวของชบวนการแรงงาน เพื่อลดชั่วโมงการทำงานในทศวรรษ 1880
ช่วงทศวรรษ 1880 ในยุโรป อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียมีการจัดตั้งองค์กรแรงงานอย่างกว้างขวางและมีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในญี่ปุ่นมีการนัดหยุดงานครั้งแรกของคนงาน รถรางแห่งโตเกียวในปี 1882 ในมอสโควมีการนัดหยุดงานอย่างขื่นขมและยืดเยื้อที่สุดในปี 1886
นับจากปี 1884-1886 มีการนัดหยุดงานเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาถึง 3,092 ครั้ง รวมสถานประกอบการที่เกี่ยวข้อง 22,000 แห่ง และมีคนงานเข้าร่วมกว่าล้านคน ส่วนในอังกฤษและเบลเยี่ยมก็ได้เกิดการนัดหยุดงานครั้งใหญ่หลายครั้งเช่นกัน
การนัดหยุดงานในทศวรรษ 1880 ส่วนใหญ่เป็นการลดชั่วโมงการทำงานเป็นสำคัญ ในอเมริกาขบวนการแรงงานได้ต่อสู้เพื่อขอลดชั่วโมงการการทำงาน โดยการเรียกร้องให้มีการคุ้มครองผ่านกฎหมายและประสบผลสำเร็จในหลาย ๆ รัฐ อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัตินั้นนายจ้างมักจะกำหนดเวลาการทำงานยาวนานกว่าที่กฎหมายกำหนดเสมอ ดังจะพบว่า ในสมัยนั้นชั่วโมงการทำงานยังคงสูงถึง 12-14 ชั่วโมง โดยเฉลี่ย
ในการประชุมเดือนตุลาคม 1884 ทางสหพันธ์แรงงานแห่งสหรัฐและแคนาดา ได้มีมติให้มีมติให้มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศและเดินชบวนพร้อมกันในวันที่ 1 พฤษภาคม 1886 เพื่อเรียกร้องและรณรงค์ให้ลดชั่วโมงการทำงานเหลือ 8 ชั่วโมง ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 1885 นายกาเบรียน เอ็ดมอนสตัน (Gabriel Edmonston) เลขาธิการของสหพันธ์ฯ ได้เรียกร้องให้องค์กรสมาชิกรวมตัวกันจัดตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อดำเนินการสนับสนุนการเดินขบวนทั่วประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ นายกาเบรียนยังเรียกร้องให้สมาชิกของแต่ละองค์กรเริ่มต้นเก็บสะสมเงินสัปดาห์ละ 2 ดอลล่าห์ เพื่อเป็นกองทุนสำหรับจัดซื้อเสบียงอาหารไว้ใช้ในการหยุดงานทั่วประเทศวันที่ 1 พฤษภาคม 1886
แต่ก่อนที่จะถึงวันที่ 1 พฤษภาคมนั้น ขบวนการแรงงานได้มีการตระเตรียมงานล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน มีการนัดหยุดงานครั้งใหญ่หลายครั้งในเดือนต้น ๆ ของปี 1886 จนกระทั่งถึงสิ้นเดือนเมษายน มีคนงานประมาณ 130,000 คน ได้รับชัยชนะจากการเรียกร้องขอลดชั่วโมงการทำงานเหลือ 8 ชั่วโมง ในวันที่ 3 พฤษภาคม มีการนัดหยุดงานถึง 5,000 ครั้งในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผู้เข้าร่วมประมาณ 350,000 คน แม้ว่าจะเป็นจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนคนงานทั่วประเทศที่มีอยู่ถึง 15 ล้านคน ขณะนั้น แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยให้รัฐบาลและนายทุนเป็นอย่างดี
เพื่อยับยั้งการเดินขบวนทั่วประเทศดังกล่าว ฝ่ายนายจ้างซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการท้องถิ่น ได้ใช้วิธีการข่มขู่และก่อการร้าย ในวันที่ 1 พฤษภาคม ตำรวจได้ยิงกราดใส่ฝูงชนที่กำลังเดินขบวนอยู่ในเมืองมิลวูกี้ (Milwuukee) ซุ่งได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 9 คน อย่างไรก็ตามการปราบปรามที่รุนแรงโหดเหี้ยมที่สุดได้เกิดขึ้นในอีก 2 วันต่อมา ณ เมืองชิคาโก ซึ่งศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลักและเป็นจุดสำคัญของการประทะระหว่างนายทุนกับแรงงาน
- พฤษภาคม 1886 : เหตุการณ์นองเลือดที่เมืองชิคาโก
วันเมย์เดย์ในเมืองชิคาโกได้มีการชุมนุมกันอย่างสันติ สหภาพแรงงานในขณะนั้นมีนักอนาธิปไตยเป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ อาทิเช่น อัลเบิร์ต ปาร์สัน (Albert Parsons) และออกัสท์ สไปส์ (August Spies) คนงานแห่งเมืองชิคาโกได้ชุมนุมกันครั้งแรกในวันที่ 13 เมษายน 1886 โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 21,000 คน และการชุมนุมครั้งที่ 2 ในวันที่ 25 เดือนเดียวกันมีผู้เข้าร่วม 25,000 คน
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1886 มีคนงานเข้าร่วมเดินขบวนประมาณ 40,000-80,000 คน ขบวนคนงานเดินอย่างสันติไปอย่างสันติไปตามย่านธุรกิจของเมืองชิคาโก โดยมีนายปาร์สันและภรรยาของเขาชื่อนางลูซี่ (Albert Lucy) เป็นผู้นำขบวน แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งชาติซึ่งติดอาวุธหนักครบมือถึง 1,350 นายอยู่ด้านข้างถนน แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น
ในวันที่ 3 พฤษภาคม มีคนงานจากโรงงานต่าง ๆ หลายร้อยคนได้มารวมตัวกันใกล้ ๆ กับไร่เม็คคอร์มิคค์ เพื่อเรียกร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือ 8 ชั่วโมง ส่วนคนงานในไร่เม็คคอมิคค์เอง ได้หยุดงานมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์และถูกเลิกจ้าง มีคนงานส่วนหนึ่งมิได้ร่วมหยุดงานด้วยซึ่งเข้าไปทำงานในไร่ตามปกติโดยมีตำรวจรักษาการให้ความคุ้มครอง ในขณะนั้นคนงานที่ชุมนุมกันอยู่ได้เคลื่อนขบวนเข้าสมทบกับคนงานในไร่ที่หยุดงาน ทันใดนั้นเองตำรวจได้ยิงปืนกราดแบบเดาสุ่มเข้าใส่กลุ่มคนอย่างเมามือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 6 คน
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนักอนาธิปไตยได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมคัดค้านขึ้น ณ เฮย์มาร์เก็ต สแควร์ (Haymarket Square) ในวันที่ 4 พฤษภาคม ในตอนท้ายการชุมนุมซึ่งดำเนินไปอย่างสันติได้มีตำรวจยกขบวนเข้าตะลุมบอนฝูงชนที่กระจัดกระจายอย่างชุลมุน ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นทำให้ตำรวจเสียชีวิตทันที 2 นาย และอีก 6 นายเสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวฝ่ายตำรวจก็เลยตอบโต้ด้วยด้วยการยิงสุ่มเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 10 คน
หลังจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้วิธีการปราบปรามศรัตรูทางการเมืองครั้งใหญ่ มีนักสหภาพแรงงานถูกจับหลายร้อยคนพร้อมกับนักสังคมนิยมและนักอนาธิปไตยและในจำนวนผู้ที่ถูกจับกุมนั้นมีผู้ถูกศาลตัดสินให้แขวนคอจำนวน 4 คน นอกจากนี้มีบางคนที่ฆ่าตัวตายในคุก
- วันเมย์เดย์กลายเป็นวันกรรมกรสากล
ขณะนั้นสหพันธ์แรงงานแห่งสหรัฐและแคนาดา ได้เปลี่ยนมาเป็นสหพันธ์คนงานแห่งอเมริกา (The American Federation of Labour) จากการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมง ในการประชุมที่เมืองเซ็นต์หลุยส์ ปี 1888 ได้มีมติให้เดินขบวนทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 1 พฤษภาคม 1890 โดยให้สหภาพแรงงานช่างไม้เป็นแกนนำในการต่อสู้ และมีสหภาพแรงงานอื่น ๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมสมทบสนับสนุน
ในช่วงนี้กระแสแนวคิดที่จะประกาศวันที่แน่นอนเป็นวันกรรมกรทั่วโลกจะต้องต่อสู้พร้อมกัน เริ่มมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมของสหภาพแรงงานในประเทศต่าง ๆ มากขึ้นตามลำดับ การเคลื่อนไหวครั้งแรกที่จะประกาศวันเมย์เดย์เป็นวันที่ขบวนการแรงงานทั่วโลกได้เดินขบวนพร้อมกัน ได้เข้าสู่ที่ประชุมนานาชาติซึ่งจัดขึ้นในกรุงลอนดอน ปี 1888 ส่วนในประเทศอื่น ๆ ของยุโรปก็มีการแพร่กระจายแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน อาทิ จากการประชุมของสหพันธ์แรงงานแห่งประเทศฝรั่งเศส (The French Trade Union Federation) ในเดือนพฤศจิกายน 1888 ในที่ประชุมได้มีมติให้วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1889 เป็นวันที่สหภาพทั่วประเทศยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลท้องถิ่นให้มีการลดชั่วโมงการทำงานเหลือ 8 ชั่วโมง และให้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ในเดือนเมษายน 1889 ที่ประชุมของพรรคคนงานสังคมประชาธิปไตยแห่งสวีเดน (swedish Social Democratic Workers’ Party) ได้มีมติว่าองค์กรคนงานในสวีเดนควรจะมีการเดินขบวนในวันเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อทำให้ชนชั้นปกครองได้ตระหนักถึงสิทธิอันชอบธรรมของชนชั้นคนงาน ในเดือนพฤษภาคม 1889 พรรคคนงานแห่งประเทศเบลเยี่ยม (The Belgium Workers’ Party) ได้ประชุมถกเถียงถึงข้อเสนอของสหพันธ์คนงานโลหะ (The Metal Workers’ Federation) ในการที่จะกำหนดให้มีวันใดวันหนึ่งที่คนงานจะนัดหยุดงานทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนให้มีการลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือ 8 ชั่วโมง ในเดือนธันวาคม 1889 สหพันธ์เหมืองแร่ระหว่างประเทศ (Miners’ International Federation) ได้เสนอให้คนงานเหมืองแร่นัดหยุดงานในวันที่ 1 พฤษภาคม 1891 เพื่อสนับสนุนให้มีการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
จากการประชุมของสภาสังคมนิยมระหว่างประเทศ (International Socialist congress) ณ กรุงปารีส ในปี 1889 ในที่ประชุมได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม 1890 เป็นวันเดินขบวนประจำปีของคนงานทั่วโลก เพื่อเรียกร้องให้ลดเวลาการทำงานลง ตามที่สหพันธ์คนงานแห่งอเมริกาได้กำหนดไว้แล้ว โดยที่คนงานในแต่ละประเทศสามารถจัดให้มีการเดินขบวนแบบใดก็ได้ตามสภาพเงื่อนไขและสถานการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ

