
ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีการะบุ คำพิพากษาขัดต่อกฎหมาย
(13.11.66) 9.00 น.ที่หน้าสำนักงานประธานศาลฎีกา มวลชนกว่า 15 คน นำโดยตะวัน ตัวตุลานนท์ และพ่อเก็ท ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีการะบุคำพิพากษาอาจขัดต่อกฎหมาย จึงขอร้องเรียนให้มีการตรวจสอบคำพิพากษาว่าเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่ หนังสือลงนามโดย ทพ.เทพดรุณ สุรฤทธ์ธำรง บิดานายโสภณ สุรฤทธ์ธำรง รศ.สมชาย ปรีชาศิลปะกุล คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.เอกพันธ์ ปิณฑวนิช สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นส.เบญจรัตน์ สัจกุล มหาวิทยาลัยนวมินทร์ทราธิราช และ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
หนังสือระบุว่า คดีแดง อ.2410/2566 ตัดสินจำคุกโสภณ สุรฤทธ์ธำรง 3 ปี 6 เดือน ในคดีความผิดมาตรา 112 และการใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาติ ซึ่งในกรณีการใช้เครื่องขยายเสียงนั้น พรบ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าต้องได้รับอนุญาติมีโทษเพียงค่าปรับไม่เกิน 200 บาท แต่ในคดีนี้ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกถึง 6 เดือน ซึ่งขัดกับกฎหมาย
ส่วนในประเด็นความผิดตามมาตรา 112 นั้นหนังสือระบุว่า เก็ท พูดกับตำรวจในที่เกิดเหตุ ใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 เป็นประธานของประโยค จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดมาตรา 112 คำตัดสินดังกล่าวจึงขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
หลังจากการยื่นต่อศาลฎีกาแล้ว นส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวถึงกรณีนักโทษการเมืองที่คดียังไม่ถึงที่สุดถือเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับต้องสวมใส่ชุดนักโทษและเครื่องพันธนาการคือกุญแจข้อเท้า เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง ขัดต่อหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์จะปฏิบัติเหมือนผู้ต้องขังไม่ได้
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยกล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากที่เคยยื่นข้อเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมออกฎหมายนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง ไปแล้ว กรณีของโสภณ สุรฤทธิ์ธำรงหรือเก็ท เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งของการใช้มาตรา 112 เป็นปัญหาการตีความ จนนำไปสู่ การละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112 ด้วย

