แรงงาน

สหภาพแรงงาน ……คุณค่าความหมายและชีวิต


 

54522170_326964334839611_8226298986860904448_n

สหภาพแรงงาน ……คุณค่าความหมายและชีวิต
สมยศ พฤกษาเกษมสุข

ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้อย่างแน่นอน เลือกเกิดเป็นคนจน หรือเลือกเป็นเศรษฐีเงินล้านไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ที่จะเกิดมาสูงหรือเตี้ย แต่ชีวิตของทุกคนสามารถกำหนดเส้นทางเดินและชะตากรรมของตนเองได้ เป็นความจริงที่มนุษย์ได้พยายามดิ้นรนต่อสู้กำหนดชะตากรรมของตนเองและเอาชนะข้อจำกัด และพันธนาการทั้งปวง

ในอดีตกาลนานมาแล้วที่มนุษย์เกิดขึ้นมาท่ามกลางความไม่รู้ ท่ามกลางความยากลำบากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ เป็นชีวิตที่ต้องดำรงอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย แต่ในที่สุดมนุษย์ได้พยายามที่จะเอาชนะกฏเกณฑ์ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองปฏิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งได้ค้นพบความจริงในกฏเกณฑ์ธรรมชาติและสามารถดัดแปลงธรรมชาติเพื่อการดำรงอยู่ที่สะดวกสบายเหมือนดังเช่นในยุคสมัยปัจจุบัน

มนุษย์จึงสามารถกำหนดตนเองให้หลุดพ้นจากความงมงาย ความเชื่อที่ผิดพลาดอันสืบเนื่องมาจากความไม่รู้หรือการหลงผิดได้ วิทยาศาสตร์จึงก้าวหน้าล้ำสมัยอย่างไม่ขาดสาย จากความจำเป็นจึงต้องกลายมาสู่เจตน์จำนงอันเสรีที่สามารถกำหนดตัวเองได้อย่างมีเสรี มีความมั่นคงปลอดภัย เมื่ออากาศหนาวมีเสื้อผ้าที่อบอุ่น เมื่ออากาศร้อนก็มีแอร์หรือพัดลม เมื่อต้องการเดินทางไปได้ด้วยยวดยานพาหนะทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ เมื่อปวดหัวตัวร้อนก็มียากิน ฯลฯ

การถูกควบคุม การไร้เสรีภาพ การตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากด้วยข้อจำกัดทั้งปวงจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่พึงปรารถนาไม่ต้องการให้อยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะธรรมชาติของ ความเป็นมนุษย์โดยแท้จริงก็คืออิสรภาพและเจตน์จำนงอันเสรีประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบันจึงเป็นประศาสตร์แห่งการต่อสู้ดิ้นรนและเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเพียรพยายามที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากข้อจำกัดหรือพันธนาการทั้งปวงไปสู่ความสมบูรณ์แห่งความเท่าเทียม เสมอภาค อิสรภาพและเสรีภาพ

แต่ทว่าในความเป็นจริงถึงแม้มนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติ คิดค้นประดิษฐ์เทคโนโลยีอันทันสมัยขึ้นมาแก้ปัญหาข้อจำกัดทางด้านธรรมชาติได้แล้ว แต่ในทางด้านการอยู่ร่วมกันในสังคมแล้วมนุษย์ยังคงต้องเผชิญกับความจำเป็นต้องถูกควบคุมบงการอยู่ อันเนื่องมาจากโครงสร้างทางสังคมที่อยุติธรรมและยังมีข้อจำกัด อุปสรรคที่กีดขวางและลดทอนความเป็นมนุษย์ในทางสังคมเป็นอย่างมาก เป็นการกระทำซึ่งเกิดขึ้นจากมนุษย์ด้วยกันเอง กล่าวคือการที่สังคมมีความแตกต่างทางชนชั้นวรรณะเกิดขึ้น มีการแบ่งแยกกีดกันและมีการกระทำในลักษณะของคนกลุ่มหนึ่งสามารถและกำหนดชะตากรรมของคนอีกลุ่มหนึ่งได้

ตัวอย่างก็คือ ในสังคมยุคทาส-ไพร่ คนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้กำหนดก็คือพวกนายทาส ส่วนบุคคลพวกทาส-ไพร่นั้นต้องมีชีวิตที่ไร้เสรีภาพอย่างสิ้นเชิง ต้องถูกกะเกณฑ์ไปทำงานให้พวกนายทาส ไม่มีปากเสียงโต้แย้งและถูกเฆี่ยนตีโบยหลังกระทั่งนำมาซื้อขายกันตามอำเภอใจ ครั้งเมื่อมาถึงยุคศักดินา บรรดาเจ้าขุนมูลนายและเจ้าที่ดินคือผู้กำหนดกฏเกณฑ์ และความเป็นไปให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นคือบรรดาไพร่ติดที่ดินต้องทำงานในไร่นาและส่งส่วยผลผลิตให้กับเจ้าที่ดินทุกๆ ปี โดยพวกเจ้าขุนมูลนายสุขสำราญอยู่ในปราสาทราชวังและเป็นผู้ควบคุมจัดการกับทรัพยากรและทรัพย์สินทั้งหลาย

กองทหารและคุกตะรางจึงกำเนิดขึ้นมาเพื่อพิทักษ์รักษาทรัพย์สินให้กับบรรดาเจ้าขุนมูลนายหรือเพื่อที่จะได้รุกรานไปกวาดต้อนเชลยศึกมาเป็นทาสและไพร่เพื่อใช้แรงงานในการสร้างปราสาทราชวังและการทำไร่นาส่งผลผลิตให้กับเจ้าขุนมูลนาย บรรดาขุนศึกแม่ทัพนายกองจึงมีอำนาจราชศักดิ์ขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นกองทัพที่มีอนุภาพเพราะเป็นผู้ควบคุมปัจจัยแห่งความรุนแรงหรือก็คือเป็นผู้ที่มีอาวุธนั้นเอง

เพื่อที่จะได้ควบคุมบงการพวกทาส-ไพร่มิให้แข็งข้อก่อการจราจลต่อต้านการกดขี่อันโหดร้ายต่อไป นอกไปจากการใช้กำลังทหารและคุกตะรางสำหรับกำหราบปราบปรามแล้ว ยังมีการใช้พระหรือนักบวชที่จะผลิตคำสั่งสอนหรือถ่ายทอดความคิดความเชื่อให้กับพวกทาส-ไพร่ให้เชื่อในเรื่องบุญกรรมทำแต่ง ให้เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต ให้เชื่อในไสยศาสตร์และความงมงายเพื่อเป็นการปกปิดฐานะอันไม่ชอบธรรมของการรกดขี่ขูดรีดว่าเป็นเรื่องกฏเกณฑ์แห่งพรหมลิขิต พวกทาส-ไพร่จึงยอมจำนนต่อสภาพแห่งการกดขี่ก็เพราะความไม่รู้และหลงผิดจากความเชื่อที่ครอบงำอยู่ ไม่มีความคิดต่อต้านหรือทำการต่อสู้

มนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพแห่งความหวาดกลัว ตกอยู่ในสภาพแห่งการควบคุมบงการ ตกอยู่ในสภาพที่ต้องยอมจำนนต่อชะตากรรมที่คนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้กระทำขึ้น โดยปราศจากเสรีภาพที่แท้จริง ตกอยู้ในสภาพที่ทำให้กลายเป็นคนโง่เขลา เซื่องซึมไร้พลัง

แม้ว่าวิวัฒนาการของสังคมจะแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก มนุษย์กำลังก้าวย่างไปสู่ศตวรรษที่ 21 ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรรมซึ่งเป็นสังคมที่มีพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดของมวลมนุษยชาติ แต่ทว่าสังคมแบบอุตสาหกรรมนี้มนุษย์ยังต้องเผชิญกับพันธนาการแบบใหม่ที่รุนแรงและซ่อนเร้นยิ่งกว่าในยุคสมัยใดเสียอีก

แต่ก่อนนายทาสสมารถล่ามโซ่ และเฆี่ยนตีพวกทาส-ไพร่ได้ตามอำเภอใจ สมัยนี้นายทุนนายจ้างไม่ได้ล่ามโซ่และเฆี่ยนตีโดยตรง แต่พวกคนงานทั้งหลายหรือผู้ใช้แรงงานมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยค่าจ้างที่ต่ำ จำเป็นต้องก้มหัวทำงานให้นายจ้างตลอดไป กฏระเบียบของบริษัทที่ใช้กันอยู่บีบบังคับให้คนงานต้องทำงานโดยมิปริปากบ่นครั้นจะต่อต้านก็อาจตกงานทำให้ไม่มีรายได้เลี้ยงชีพ สภาพแบบนี้ก็คือสภาพที่คนงานถูกควบคุมและบงการโดยนายทุนนั้นเอง

เมื่อก่อนชีวิตของพวกทาส-ไพร่ ไม่ต่างไปจากวัวควายเท่าไรนัก แต่สำหรับสมัยนี้ชีวิตของคนงานก็ไม่ต่างไปจากหุ่นยนต์ที่ต้องทำงานกันเต็มที่ภายใต้แรงจูงใจของเงินค่าจ้างตอบแทน

เมื่อก่อนพวกทาส-ไพร่ไม่มีเสรีภาพใดๆ ทั้งสิ้น มาตอนนี้คนงานมีเสรีภาพอยู่บ้างจะเลือกทำงานที่ไหนก็ได้แต่ทุกๆ ที่สภาพการทำงานไม่แตกต่างกันมาก อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เสรีภาพการเลือกทำงานจึงไม่มีความหมายอีกทั้งยิ่งแก่ตัวลงไปก็ยิ่งไร้เสรีภาพมากยิ่งขึ้นเพราะหางานทำได้ยากยิ่งกว่าวัยหนุ่มสาว

ในสังคมปัจจุบันจึงใช้ค่าจ้างเป็นเสมือนโซ่ล่าม ยิ่งค่าจ้างต่ำมากเพียงไรก็ยิ่งตราตรึงให้ทุกคนก้มหัวเป็นวัวงานทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ จนกลายเป็นความเคยชิน เส้นทางเลือกและการกำหนดชะตากรรมของตนเองจึงอยู่ภายใต้ขีดจำกัดของการควบคุมบงการโดยนายทุน จริงอยู่กรรมกรไม่น้อยที่เดียวที่ได้รับค่าจ้างสูง มีสวัสดิการที่มากพอ แต่บุคคลเหล่านี้ก็ถูกกำหนดกฏเกณฑ์และบงการเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการแห่งความกลัวกลับรุนแรงยิ่งกว่ากรรมกรระดับล่างเสียอีก ยิ่งพวกเขามีชีวิตอยู่ได้ในระบบเงินดาวน์และผ่อนส่งด้วยแล้วพวกเขายิ่งจะต้องทำงานหนักและยอมจำนนต่อสภาพที่กำหนดพวกเขาอยู่

ในสังคมอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้าแบบทุนนิยมนี้ยังวางพื้นฐานอยู่ที่การแข่งขันไต่เต้า ซึ่งทำให้ทุกคนต้องกระโจนสู่การทำงานอย่างหนักรับเร่งและบ้าคลั่ง อีกทั้งยังสร้างแรงกดดันภายในจิตใจของตัวเอง สร้างแรงอิจฉาริษยาและสร้างจิตใจที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ และนี่คือสภาวะจิตใจที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก็เพราะการแข่งขันไต่เต้านี้เองที่กลายมาเป็นสงคราม อาชญากรรมและความรุนแรงที่กำลังทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ลงไป

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าโดยความเป็นจริงแล้วมนุษย์ทุกคนถือกำเหนิดขึ้นมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาธรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ศาสดาทุกศาสนาจึงสั่งสอนให้ทุกคนสละความอยากได้ ความเห็นแก่ตัวลงไปเพื่อทุกคนจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติสุขงดงาม

เป็นความเป็นจริงอย่างยิ่งที่สังคมในทุกวันนี้ยังแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ออกเป็นชนชั้นระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจน ระหว่างนายทุนกับกรรมกร ความแตกต่างทางชนชั้นเช่นนี้เป็นต้นตอที่มาของการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบด้วยเพราะเหตุว่าคนกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต จึงทำให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถกำหนดชะตากรรมของคนอีกกลุ่มหนึ่งได้ หรือพูดให้ชัดเจนก็คือนายทุนอยู่ในฐานะกำหนด ในขณะที่กรรมกรอยู่ในฐานะที่ถูกกำหนด

ทำนองเดียวกันกับในยุคทาส-ไพร่ เพื่อที่จะดำรงฐานะแห่งความไม่เท่าเทียมและความแตกต่างทางชนชั้นเช่นนี้ต่อไป กลุ่มนายทุนพ่อค้าย่อมเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลทหารจึงต้องออกกฏหมายหรือคำสั่งที่จะเข้ามาควบคุมกำหราบปราบปรามกรรมกรมิให้ลุกขึ้นมาต่อสู้หรือทำการต่อต้านสภาวะแห่งการเอารัดเอาเปรียบ

และเช่นเดียวกันอีกที่ จะต้องมีการถ่ายทอดหรือผลิตความคิดความเชื่อให้กรรมกรยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ด้วยคำสั่งสอนและการปลูกฝังโดยผ่านสื่อมวลชนและระบบการศึกษา เช่นความเชื่อที่ว่านายทุนเป็นผู้มีประคุณ กรรมกรคือผู้ที่ต่ำต้อย มือใครยาวสาวได้สาวเอา งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข ไม้ซีกฤาจะงัดไม้ซุง ฯลฯ ซึ่งเป็นการมอมเมา สร้างแนวความคิดยอมจำนนต่อไปอีก

ชีวิตของกรรมกรจึงกลายสภาพเป็นเพียงองค์ประกอบของโรงงานการผลิต เป็นเพียงวัตถุที่มีชีวิตที่ทำงานขับเคลื่อนไปตามจังหวะรอบหมุนของเครื่องจักร ชีวิตของพวกเขาวนเวียนอยู่กับการกิน การนอน ตื่นขึ้นมาทำงานแต่เช้าตรู่แล้วก็ทำงานต่อไปจนพลบค่ำ เป็นแบบนี้เรื่อยไปจนกระทั่งเหนื่อยล้าในช่วงปัจฉิมวัยแก่ชรา ซึ่งก็จะถูกนายทุนเหวี่ยงออกโรงงานไปด้วยเงินค่าชดเชยจำนวนหนึ่ง

ชีวิตที่ถูกกำหนด ถูกควบคุมบงการและขึ้นต่อกับคนอีกกลุ่มหนึ่งเพราะอำนาจทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่า ย่อมเป็นชีวิตที่ไร้ความหมาย ไร้คุณค่า และไร้อนาคตโดนสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปลดปล่อยตนเองออกจากพันธนาการเช่นนี้ ซึ่งแน่นอนประการสำคัญอันดับแรกก็คือ กรรมกรจะต้องสลัดความคิดความเชื่อที่ผิดพลาดออกไปจากตนเองเสียก่อน ความคิดความเชื่อที่ผิดพลาดก็คือความคิดที่ดูถูกตนเอง ไม่เชื่อมั่นในตนเอง หรือความคิดที่ว่าตนเองนั้นไร้พลัง ไร้ความสามารถ ไร้อำนาจในการเปลี่ยนแปลงตลอดจนการสลัดพ้นอาการแห่งความหวาดกลัวทั้งหลายทั้งปวง

เมื่อกรรมกรหลุดพ้นไปจากความคิดความเชื่อที่ฝังหัวอยู่ในตัวเองแล้วอันดับต่อไปก็คือการก้าวออกไปจากอาการอันเซื่องซึมเหงาหงอยและการเกรงกลัวต่อความไม่แน่นอนหรือการสูญเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการดำเนินการต่อสู้เปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ก็คือความกล้าหาญและจิตใจที่กล้าต่อสู้กล้าเสียสละที่จะลงมือทำการเปลี่ยนแปลง แต่ทว่าเพื่อเป็นการสร้างประกันที่จะให้การรต่อสู้เปลี่ยนแปลงประสบผลสำเร็จและเกิดการสูญเสียให้น้อยที่สุดการรเคลื่อนไหวต่อสู้จึงต้องกระทำการร่วมกันเป็นหมู่เป็นเหล่าและเป็นกลุ่มก้อนที่แน่นอน ที่ทุกคนจะได้ร่วมกันศึกษาค้นคิดทางออกในการกำหนดชะตากรรมเส้นทางเดินชีวิตที่ทุกคนปรารถนาร่วมกันได้อย่างองอาจสง่าผ่าเผย

การรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานถือเป็นจุดกำเหนิดเบื้องต้นถึงความเป็นไปได้ที่กรรมกรจะกำหนดชะตากรรมเส้นทางเดินของตนเองไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การกำหนดกฏเกณฑ์และการบงการโดยฝ่ายนายทุนฝ่ายเดียว เพราะสหภาพแรงงานคือการรวมตัวและการผนึกกำลังความสามารถของกำลังแรงงานที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในกระบวนการผลิตโดยการอาศัยพลังอำนาจแห่งการรวมตัวกันนี้ทำให้เกิดดุลย์อำนาจของการเจรจาต่อรองซึ่งเป็นไปโดยเท่าเทียมและมีความเสมอภาคกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นอยู่ที่ว่าสหภาพแรงงานนั้นจะมีความเข้มแข็งและมีอำนาจการต่อรองสักเพียงใด ? นี่ย่อมหมายความว่าบรรดาคนงานทั้งปวงจะต้องเข้าร่วมผนึกกำลังทั้งทางสติปัญญาและกำลังกายกับ สหภาพแรงงานให้ได้มากที่สุดโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สหภาพแรงงานจึงไม่ใช่เพียงการประชุมใหญ่และการเลือกตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงานขึ้นมาชุดหนึ่งและปล่อยให้คณะกรรมการจำนวนน้อยนิดไปกระทำการแทนสมาชิกหรือคนงานเสียทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นในลักษณะเช่นนี้พลังอำนาจร่วมกันของคนงานจะถูกทำให้ไร้ความหมายและกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผประโยชน์ของผู้นำแรงงานได้อย่างง่ายดาย

ศูนย์บริการข้อมูลและฝึกอบรมแรงงาน

                                                                   ตีพิมพ์ครั้งแรก 2530

ilobuild